หากลองมองไปรอบๆ ตัวในช่วงเวลานี้ เราอาจสังเกตได้ว่าบรรยากาศที่เคยตึงเครียดจากภาวะการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เริ่มผ่อนคลายลงมาก ประชาชนหรือแม้แต่แบรนด์เองก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวา มีพลังที่จะสร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งใหม่มากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่อาจเป็นอุปสรรคนั่นก็คือ บาดแผลทางเศรษฐกิจที่ไม่ว่าใครก็ต่างจะต้องเผชิญ ดังนั้นก่อนจะลงทุนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นจะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่ามากกว่าที่เคย หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เราต้องรัดเข็มขัดนั่นเอง

แต่เชื่อไหมว่าช่วงเวลาแบบนี้อาจเป็นโอกาสทองที่เราจะได้ทดลองกลเม็ดเคล็ดวิชาผลิตท่า PR แบบใหม่ๆ ซึ่งอาจจะพาแบรนด์ของเราไปสู่ที่ๆ แบรนด์ ไม่เคยไปและคุ้มค่างบประมาณที่เสียไปอย่างแน่นอน

เอาล่ะ ไปดูกันว่า กลเม็ดการทำ PR แบบไหนบ้างที่คุ้มค่าและน่าสนใจในช่วงเวลาต้องรัดเข็มขัดแบบนี้บ้าง

Real Time Content หมัดฮุกทะลุทุกกระแส

สังเกตได้ว่าโลกโซเชียลของเราโดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้นมีสีสันขึ้นมาก จากการที่ทุกคนต่างใช้ชีวิตกับหน้าจอแทบจะตลอดเวลา จนแม้ทุกอย่างคลี่คลายลงไปแล้วกระแสหลายๆ อย่างก็ยังคงอยู่อย่างเหนียวแน่น แถมยังมีเรื่องราวใหม่ๆ เข้ามาให้เราทุกคนเสพกันไม่เว้นในแต่ละวัน

ตัวอย่างหนึ่งของกระแสที่โด่งดังมาตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้แก่ แม่สิตางค์ บัวทอง ผู้มาพร้อมกับประโยคสุดพิศดารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “ส้มหยุด” หรือ “ทุกคนรู้ แฟนคลับรู้….” ที่กลายเป็น กระแสคัฟเวอร์บน TikTok ในขณะนั้น หลายๆ แบรนด์ก็ต่างจับกระแสนี้ให้เป็นประโยชน์และกระโดดเข้าไปแจมกันอย่างถล่มทลาย ไม่ว่าจะเป็นเพจไอศกรีม Baskin Robbins, Dairy Queen, Swensen’s และสารพัดสินค้าอื่นๆ อีกมากมายกว่า 30 แบรนด์ จนกลายเป็นกระแสทั่วโลกโซเชียลในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

และอีกครั้งกับปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ที่ใครก็ต้องพูดถึงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ กับ How You Like That เพลงใหม่ของ 4 สาว BLACKPINK ที่ทำให้แบรนด์ต่างๆ เข้าสู่สมรภูมิอีกครั้งกับการจับกระแสเพลงนี้ เพื่อการ PR แบรนด์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Bar B Q Plaza, Dairy Queen, SHU UEMURA และอีกหลากหลายแบรนด์

เห็นไหมว่าเพียงจับกระแสที่กำลังร้อนให้ทัน แล้วหามุมที่แบรนด์สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมและทำ Real Time Content ออกมาอย่างถูกที่ถูกเวลา สปอตไลท์นั้นก็จะส่องเข้ามาที่แบรนด์ของคุณได้โดยแทบไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากเลยทีเดียว

ขอขอบคุณภาพจาก Facebook : Baskin-Robbins, Dairy Queen Thailand, We Love Swensen’s และ Bar B Q Plaza

คาแรคเตอร์จัด สไตล์ชัด ซัดเข้ากลางใจลูกค้า

นอกจากการใช้กระแสให้ถูกที่ถูกเวลาแล้วนั้น อีกหนึ่งตัวอย่างของเทคนิคการทำ PR ที่สร้างการจดจำได้มาก แม้อาจจะไม่ได้ทำได้โดยง่ายคือการสร้างคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจให้กับแบรนด์ โดยที่เราจำเป็นต้องวางกลยุทธ์การใช้โซเชียลมีเดียของแบรนด์ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นวิธีการโพสต์ รูปแบบของการใช้ภาษา ภาพประกอบ ช่วงเวลาการโพสต์ รวมออกมาเป็นคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนของตัวแบรนด์นั่นเอง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดชื่อดังที่ทั้งโลกรู้จักกันดีอย่าง Burger King ที่มีคาแรกเตอร์สุดกวนที่มักหาเรื่องราวมาแกล้งทั้งแบรนด์คู่แข่งและลูกค้าอยู่เสมอ เช่นการแจก Promo Code ที่แสนยาวเหยียดเพื่อเป็นการฉลองวันที่มีช่วงเวลากลางวันยาวนานที่สุดในหนึ่งปี อีกหนึ่งแบรนด์หนึ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือแม่สาวหน้าหวานแห่งวงการฟาสต์ฟู้ดอย่าง Wendy’s ที่เปลือกนอกของเธออาจเป็นสาวผมแดงที่ดูไม่มีพิษมีภัย

แต่ใน Twitter เธอคือสาวร้ายไม่แพ้ Regina George จาก Mean Girl เลยทีเดียว ตัวอย่างจากภาพคือการที่ ซึ่งสิ่งที่แบรนด์ Wendy’s ได้ Quote Tweet เรื่องคู่แข่งอย่าง Burger King ได้ทดลองนำเฟรนช์ฟรายส์มาเป็นไส้เบอร์เกอร์ว่า “เมื่ออะไรก็ตามก็เข้ากับขนมปังมากกว่าเนื้อของพวกเขา” นับว่าเจ็บแสบมากทีเดียว (แต่สำหรับประเทศไทยแนะนำว่าอย่าฮาร์ดคอร์ระดับนี้เลยจะดีกว่านะครับ)

จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์การสร้างคาแรคเตอร์นี้ยังทำให้คนสามารถจดจำได้ว่าแบรนด์ได้ชัดขึ้นจนบางครั้งมองเห็นว่าเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยอย่างไรเลยทีเดียว นับว่าเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่น่าลองใช้และไม่เสียงบประมาณจำนวนมาก แถมหากทำออกมาดีก็ยังเรียก Engagement ได้มากอีกด้วย

 ขอขอบคุณภาพจาก Facebook: Burger King และ Twitter: @Wendys

ไม่ต้องเล่นใหญ่ แต่ต้องกล้าเล่นใหม่

สิ่งที่กำลังจะกล่าวต่อจากนี้ไปไม่ใช่การที่แบรนด์จะต้องจ้างกราฟฟิกใหม่หรือต้องหานักเขียนมือทองมาเพื่อมาเสริมทัพ แต่ในเวลาแห่งการรัดเข็มขัดแบบนี้ ลีลาในการขายเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้สินค้าต่างๆ ขายได้ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใหญ่ไปจนถึง SME รายย่อย จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่เป็นตัวช่วยในการทำ PR ในยุคปัจจุบัน

ลองดูตัวอย่าง Big C ที่เลือกใช้น้าค่อม ชวนชื่นเข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับการขายชุดนักเรียน สิ่งที่คนจะได้รับไปคือการจดจำความกล้าเล่นของแบรนด์ เพราะด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวน้าค่อม ภาพเหล่านั้นจึงเหมือนมีเสียงน้าค่อมตามออกมา หรือลองลดสเกลมาดูกันที่เพจ เนื้อหมูแดดเดียว ตรา อีเหมียวปีนตู้กับข้าว หนึ่งใน SME ที่กลายเป็นไวรัลดังได้แม้จะไม่ได้ใช้กราฟฟิกที่อลังการแต่ด้วยความแปลกจนถึงกับต้องแชร์พร้อมกับ Copy ที่เสริมภาพเข้าไปใหญ่อย่าง “อร่อย จนต้องขึ้นสวรรค์” จึงทำให้โพสต์นี้ได้ยอดแชร์ไปทั้งหมดถึง 1.9 หมื่นครั้ง นับว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของความสร้างสรรค์ที่สามารถนำไปปรับใช้กับแบรนด์ได้ เพื่อให้ได้ลีลาที่แปลกใหม่ที่น่าจดจำ

ขอขอบคุณภาพจาก Facebook : Big C และ เนื้อหมูแดดเดียวตราอีเหมียวปีนตู้กับข้าว

Nano Influencer ไม่เน้นหรูหรา แต่มากับความเรียล

แน่นอนว่าการใช้ Influencer เป็นเทคนิคหนึ่งที่ แบรนด์ใช้กันเพื่อทำการ PR อยู่แล้ว

Influencer เองก็แบ่งเป็นหลายกลุ่มไม่ว่าจะเป็น Macro Micro หรือ Nano ที่ถึงแม้ว่ายอดการติดตามของพวกเขานั้นจะมีไม่มากเท่ากับกลุ่มอื่นๆ แต่โดยสถิติจาก Social Media Today กล่าวว่าพวกเขาสามารถผลิตคอนเทนต์ที่เข้าถึงผู้ชมที่เป็นกลุ่ม Niche ได้ถึง 8.7% มากกว่ากลุ่มเซเลบคนดัง หรือ Macro Influencer เสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้เมื่อเทรนด์การใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปจากวิกฤต COVID-19 ผู้คนเริ่มมองหาความเรียล ความเรียบง่ายและไม่ปรุงแต่งจนเกินไปมากขึ้น เหล่า Nano Influencer จึงตอบโจทย์อย่างชัดเจน

แต่ในขณะเดียวกันการใช้ Nano Influencer เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์กับคนจำนวนมากก็จำเป็นต้องใช้พวกเขาจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว นั่นก็อาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน

วิธีหนึ่งที่สามารถทำได้คือการ Barter สินค้าและบริการเพื่อให้พวกเขาได้รีวิว ซึ่งใช้งบประมาณที่น้อยกว่าและยังทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์จริงจากแบรนด์โดยตรง เทคนิคนี้จึงเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับแบรนด์ที่ต้องการทำ PR ในเวลาที่ต้องรัดเข็มขัดแบบนี้

จากทั้ง 4 เทคนิคที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าไอเดียคือส่วนประกอบสำคัญที่จะทำให้ผลงานออกมาตามความตั้งใจ ดังนั้นในช่วงเวลาที่ต้องรัดเข็มขัดเช่นนี้ การมีเพื่อนคู่คิดในการสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ก็จะทำให้รู้สึกอุ่นใจได้มากแน่นอน