ถึงเวลาที่ Corporate Content ต้องถอดสูทลงบ้าง

Share on

สมัยเด็กๆ ผมก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป เสพสื่อเยอะๆ เข้าก็อยากทำงานวงการบันเทิงก็เลยติดต่อบริษัทแกรมมี่เพื่อขอฝึกงานเป็นนักแต่งเพลง ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าชีวิตจะมาลงเอยกับโลกของ Digital PR และการสื่อสารแบรนด์แบบทุกวันนี้

แต่ความทรงจำจากวันนั้นยังชัดมาก

ทีมแต่งเพลงของแกรมมี่เห็นผมตั้งใจ ก็เลยให้โอกาสผมเข้าไปเรียนรู้วิธีการเขียนเพลงแบบมืออาชีพ โดยอ้างอิงจากสไตล์ของพี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงชื่อดังยุคนั้น และหนึ่งในเพลงที่พี่ๆ หยิบขึ้นมาสอนตอนนั้นคือเพลง “คาใจ” ของพี่เจ – เจตริน (บอกอายุมาก 555)

พี่เขาบอกว่า “เนื้อเพลงนี้ไม่ได้ใช้คำหรู ไม่ได้ซับซ้อน แต่ฟังปุ๊บเข้าใจเลย” เพราะมันคือกลอนแปดที่แต่งด้วยคำพูดธรรมดาๆ แต่จริงใจ และใกล้หัวใจคน ผลคือเพลงคาใจฮิตถล่มทลาย คนทั่วประเทศร้องตามได้แบบไม่ต้องเปิดพจนานุกรม

พอเรียนรู้ว่าความเรียบง่ายคือหัวใจสำคัญ ถ้ามองมันเป็นหลักการเดียวกันมันก็ปรับใช้กันได้นะ แค่เปลี่ยนจากการเขียนเพลง มาเป็นการเขียนเนื้อหาให้แบรนด์

เพราะในโลกที่คนเลื่อนผ่านทุกอย่างด้วยนิ้วโป้ง ภาษาที่ดีไม่ใช่ภาษาที่สวยที่สุด แต่คือภาษาที่ “คนอ่านแล้วเข้าใจเลย” และ “รู้สึกว่าเราอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน”

ถึงเวลาถอดสูทของเนื้อหาองค์กร

บางคนอาจจะมองต่างไปว่า Corporate ยังไงก็ต้องทางการ ผมก็อยากจะบอกว่า เมื่อเราจำเป็นต้องจริงจังให้น่าเชื่อถือ เราก็ต้องจริงจัง ผมไม่ได้บอกว่าภาษา Corporate แบบทางการไม่จำเป็น แต่ถ้าหากว่าเรารู้ตัวว่าในยุคที่ Social ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ และเมืองไทยเป็นประเทศ Social First การสื่อสารจำนวนมากที่อยู่บนโลกออนไลน์ก็ควรปรับปรุงให้เข้าทางคนอ่านคนฟัง

ข้อมูลจาก DataReportal ระบุว่า ในเดือนมกราคม 2023 ประเทศไทยมีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียถึง 52.25 ล้านคน คิดเป็น 72.8% ของประชากรทั้งหมด และ 85.4% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศ แถมคนไทยใช้เวลาเฉลี่ย 2.31 ชั่วโมงต่อวันบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นการใช้เวลาสูงสุดอันดับต้น ๆ ของโลก

ทำไมเราไม่ควรปรับตัว?

แบรนด์ระดับโลกก็ปรับตัว

แบรนด์ระดับโลกหลายแห่งได้ปรับโทนเสียงและภาษาของตนให้เข้าถึงง่ายและเป็นกันเองมากขึ้น เพื่อเชื่อมต่อกับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ตัวอย่างเช่น:

  • Apple: ใช้ภาษาที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา เน้นการสื่อสารที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อสะท้อนถึงนวัตกรรมและความทันสมัยของแบรนด์
  • Coca-Cola: สื่อสารด้วยภาษาที่สดใสและเป็นมิตร เพื่อสร้างความรู้สึกเชิงบวกและความสุขให้กับผู้บริโภค
  • Mailchimp: ใช้โทนเสียงที่เป็นกันเองและสนุกสนาน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้ใช้

การปรับโทนเสียงและภาษาของแบรนด์เหล่านี้ช่วยให้พวกเขาสามารถเชื่อมต่อกับผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในยุคที่การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญ

7 วิธีถอดสูทจาก Corporate Content

(เปลี่ยนการสื่อสารให้อ่านแล้วรู้เรื่อง รู้สึก และกล้าคุยกลับ)

1. เริ่มจากผู้นำพูดก่อน

ให้ผู้บริหารลองสื่อสารแบบเป็นกันเองในอีเมลภายใน หรือ LinkedIn → เมื่อผู้นำเริ่มพูดแบบ “คนธรรมดา” ทีมจะกล้าเปลี่ยนตาม ถ้าองค์กรไทย และพนักงานคุยภาษาไทยเป็นหลัก ไม่มีคนต่างชาติในองค์กร เขียนไทยเลยครับ

2. ตั้งเกณฑ์ “เหมือนเพื่อนพูด” ในการ approve งาน

ก่อนปล่อย content ถามตัวเองว่า:

  • อ่านแต่ละบรรทัดเข้าใจใน 5 วิไหม?
  • ถ้าเพื่อนพูดแบบนี้ เราจะรู้เรื่องมั้ย?

3. รีเฟรช Template ทั้งระบบ

FAQ / Auto-reply / Slide / Email / About us → เปลี่ยนคำแข็งให้กลายเป็นคำที่คนใช้ในชีวิตจริง

4. ตั้งกลุ่มแชท “พูดแบบมนุษย์”

ใครเจอคำทางการโยนเข้ากลุ่ม แล้วช่วยกันรีไรต์ให้ฟังดู friendly → “ขอความกรุณา” → “ฝากด้วยนะครับ”

5. เขียนสองเวอร์ชัน: เวอร์ชันราชการ vs เวอร์ชันภาษาคน

เปรียบเทียบแบบสนุกๆ ในทีม เช่น “ถ้าเล่าให้เพื่อนฟัง จะพูดว่า…”

6. แนบ Before / After ให้เห็นภาพ

ทำตัวอย่างข้อความเดิม + เวอร์ชันที่เป็นภาษาคนธรรมดา → เห็นปุ๊บเข้าใจปั๊บ ไม่ต้องอธิบาย

7. เก็บคำพูดจริงจาก frontline มาใช้

คำพูดของ AE, CS, หรือทีมที่เจอลูกค้าคือ “ทองคำ”→ เพราะนั่นคือภาษาที่คนเชื่อ และ connect จริง

ภาษาที่เราเลือกใช้ = ภาพลักษณ์ที่คนมองเห็น

ในยุคที่ใครๆ ก็ผลิตคอนเทนต์ได้ สิ่งที่แยก “แบรนด์ที่พูด” ออกจาก “แบรนด์ที่คนอยากฟัง” ไม่ใช่แค่คำพูดที่ดูดี
แต่คือ คำพูดที่เข้าใจง่าย และทำให้คนรู้สึกว่าแบรนด์เป็น “พวกเดียวกัน”

ใครมีประสบการณ์ปรับภาษาบนเพจองค์กร หรือเคยเปลี่ยนจากแข็งเป็นนิ่มแล้วเวิร์ก มาแชร์กันได้นะครับ ในเว็บเรามีปุ่มแชทอยู่มุมขวาล่าง กดมาคุยกันนะ

ผู้ก่อตั้ง Moonshot Digital