จบไปหมาดๆ กับ FaraTALK: Tell Me Y ทอล์กโชว์ประจำฤดูกาลของยูทูบเบอร์ชื่อดัง ฟาโรส หรือที่ทุกคนเรียกกันติดปากว่า “พี่ฟา” ตั้งแต่วันแรกที่ “ไกลบ้าน” ตอนแรกออนแอร์เมื่อ 5 ปีก่อน จนถึงวันนี้ที่มีทอล์กโชว์ ซึ่งสร้างปรากฎการณ์ขายบัตรหมดเกลี้ยงใน 10 นาที ด้วยจำนวนเกือบ 9,000 ที่นั่ง มองย้อนกลับไปถึงเส้นทางการเดินทางของพี่ฟา เราพบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ช่องยูทูบ เติบโตกลายเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงก็คือการมี Content ที่ดีและคอนเทนต์เหล่านั้น ถูกนำไปใช้ผ่าน Storytelling ที่เหมาะสม
หลายคนน่าจะคุ้นหูกับประโยคที่ว่า Content is King กันอยู่บ้าง ซึ่งทุกวันนี้คอนเทนต์กลับพุ่งตะโกนใส่เราเยอะมาก ผู้รับสารแบบเราจะรับมันทุกอย่างก็คงไม่ได้ แต่คอนเทนต์ที่ติดอยู่ในหัว(และใจ)ของผู้รับสารมีไม่เยอะหรอกครับ สิ่งที่ทำให้แตกต่างและพาคอนเทนต์ไปถึงที่หมายได้ เราว่ามันคือ Storytelling หรือการเล่าเรื่องครับ
พี่ฟามีคอนเทนต์และเรื่องราวที่อยากบอกต่อให้กับคนฟังอยู่มากมาย ตั้งแต่เรื่องเม้ามอยหลากรสชาติในไกลบ้าน จนถึงความรู้ทางวิชาการเนิร์ดๆ ในช่างเชื่อม ประวัติศาสตร์ของโลกผ่านตัวบุคคลใน People You May Know หรือรายการอื่นๆ ที่วนเวียนเข้ามาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แต่การเล่าออกไปเฉยๆ พี่ฟาก็รู้ดีว่ามันย่อยยากและเข้าถึงคนได้น้อย เพราะฉะนั้นเขาเลยต้องหาวิธีที่ทำให้คอนเทนต์เหล่านั้น เดินทางไปถึงผู้รับสารได้อย่างดีที่สุด ดังนั้น พี่ฟาจึงดึงเอาจุดเด่นของตัวเขาออกมา นั่นคือการสร้าง Storytelling ที่มหัศจรรย์ เพื่อเป็นตัวกลาง (Medium) นำพาสารเหล่านั้นไปยังกลุ่มผู้รับสารของเขา
การทำ Storytelling ของแบรนด์ FAROSE ไม่ได้ซับซ้อนมากเลยครับ แต่มันกลับถูกคิดมาอย่างละเอียด พี่ฟาได้ใช้ตัวช่วยมากมายมาช่วยเล่าเรื่องครับ ไม่ว่าจะเป็นแชนแนลหรือช่องทางออนไลน์ที่เลือกใช้ รูปแบบรายการสำหรับการเล่าเรื่องเฉพาะตัว และที่สำคัญก็คือผองเพื่อนและคนสนิททั้งหลายครับ ผู้เล่าแต่ละคนมีเสน่ห์อยู่ในตัวอยู่แล้ว พร้อมทั้งความอินและความแน่นของคอนเทนต์ในหัว ประกอบกับพี่ฟาโรสที่คอยตั้งคำถามและจุดประเด็น มันเลยเหมือนเพื่อนมานั่งพูดคุยกัน หลายครั้งเรามั่นใจว่าพี่ฟาเค้ารู้อยู่แล้ว แต่เค้ากลับแสดงความใคร่รู้ออกมาให้เราเห็น ทำให้ผู้เล่ารู้สึกได้รับเกียรติ ได้รับความเคารพในฐานะผู้รู้จริง และพี่ฟาก็เป็นเหมือนตัวแทนของผู้ชม ที่กำลังตั้งคำถามอยู่ไปพร้อมๆ กัน จุดหนึ่งมันเป็นหนึ่งในการทำ Storytelling ที่แยบยลมากๆ เลยครับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันกลายเป็นคาแร็กเตอร์ที่แข็งแรงของตัวพี่ฟาและเพื่อนๆ รวมถึงผู้รับสาร หรือ “ชาวช่อง” ที่สัมผัสได้และเห็นพ้องต้องกัน ขณะเดียวกันพี่ฟาโรสและทีมงานหลังบ้านก็รู้จัก เข้าใจกลุ่มชาวช่องอย่างดี และรู้ด้วยว่าพวกเขาอยู่กันที่ตรงไหน เรายอมรับเลยครับว่า “ชาวช่อง” มี Audience Persona ที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ ครับ เมื่อ Brand Persona กับ Audience Persona ที่ชัดเจน การทำ Storytelling ของแบรนด์ FAROSE มันเลยทรงพลังและได้ผลอยู่เสมอ และสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
FaraTALK: Tell Me Y ครั้งนี้ เป็นอีกงานหนึ่งที่ตอกย้ำเรื่องการทำ Storytelling ที่สุดยอดของพี่ฟา แม้ว่าการมีชาวช่องมาอยู่ตรงหน้าเกือบหมื่นคน การเล่าเรื่องสดๆ แบบตัดต่อไม่ได้ รวมทั้งความคาดหวังของชาวช่องที่มาในงาน มันน่าจะทำให้กดดันอยู่ไม่ใช่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อ Content ของพี่ฟาโรสที่เป็น King อยู่แล้วและ Storytelling ที่เป็น Queen ทำให้งานทอล์กครั้งนี้ ประสบความสำเร็จแบบไร้ข้อกังขา ชาวช่องได้รับสิ่งที่พวกเขาเฝ้ารอ ในสไตล์ที่พวกเขาชื่นชอบ และอิ่มใจในแบบที่พวกเขาคาดหวัง
เราจำได้ว่าตอนพี่ฟาไปคุยกับคุณเคน นครินทร์ ในรายการ Secret Sauce เมื่อปีก่อน พี่ฟาบอกว่า อยากให้คนได้รู้จักและรับรู้ว่า FAROSE เป็นแบรนด์ มากกว่าการเป็นแค่ตัวพี่ฟาโรส หรือ ณัฏฐ์ กลิ่นมาลี เท่านั้น เรามองว่าสิ่งที่พี่ฟาทำมาตลอด วันนี้มันสำเร็จแล้ว แบรนด์ FAROSE มันเป็นมากกว่าตัวพี่ฟา มากกว่าภาพพี่ฟาเดินถือกล้องในต่างประเทศ แต่มันกลายเป็นภาพที่คนนึกถึงในอีกหลายมิติ อาทิ ดาราหลัก ดาราเสริมของช่อง เนื้อหาเนิร์ดๆ ที่สนุก และคำพูดติดปากหรือ Catchphrase ที่ถูกบรรจุในคลังศัพท์ชาวช่องครับ
FAROSE คือหนึ่งในตัวอย่างของแบรนด์ยุคใหม่ ที่ตอกย้ำวลีที่ว่า Content is King. Storytelling is Queen ขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/faridafarafarose